วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

อะไรบ้างที่ทำให้ในหลวงทรงพระสำราญ

ตลอดเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย เราไม่เคยนึกถึงเลยว่าพระองค์จะมีเวลาพักผ่อนพระอิริยาบถ มากน้อยเพียงใด

ยิ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ทรงครองราชย์ เรายิ่งไม่เคยคิดเลยว่าพระองค์ทรงโทมนัสอย่างไรบ้าง ดูสารคดีเรื่องนี้แล้วรู้สึกตัวเองเห็นแก่ตัว ลองคิดว่าถ้าตัวเองอยู่ในสภาะอารมณ์ ความรู้สึดเช่นนั้นบ้าง เราจะอดทน มุ่งมั่นทำงานได้อย่างพระองค์หรือ

ดูแล้วลองตั้งความคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้พระองค์ท่านที่เราเคารพเทิดทูน ไม่ต้องทรงโทมนัสอีก

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แผนที่วัฒนธรรม

แผนที่วัฒนธรรม แสดงพื้นที่ในวัฒนธรรมเดียวกันและต่างกัน



คอลัมน์ สยามประเทศไทยโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ


แผนที่ทางวัฒนธรรม เป็นชื่อใหม่และยังมีความหมายไม่ตรงกัน ต่างใช้คนละความหมาย เช่น ทางบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้อย่างหนึ่งตามข้อเขียนของ รศ. วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า พิมพ์ในวารสารวัฒนธรรมไทย (ของกระทรวงวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2551) จะขอคัดมาเผยแพร่ให้อ่านกันก่อนดังนี้


"องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการจัดการวัฒนธรรมได้ โดยมองว่าวัฒนธรรมเป็น "ทรัพยากร" ในทางการบริหาร และตระหนักว่า "วัฒนธรรม" เป็นต้นทุนทางสังคมที่สำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น...




การใช้ประโยชน์จากแผนที่วัฒนธรรม


การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางวัฒนธรรมหรือการจัดการทางวัฒนธรรม ได้แก่ การอนุรักษ์ การฟื้นฟู การพัฒนา การถ่ายทอดวัฒนธรรม และการส่งเสริมวัฒนธรรม จะเห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะสามารถดำเนินการจัดการทางวัฒนธรรมได้ในหลากหลายวิธี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและจำเป็นอย่างยิ่ง คือการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเข้าใจถึงสถานภาพและคุณค่าของทรัพยากรทางวัฒนธรรมแต่ละประเภท อย่างไรก็ตาม วิธีการที่จะใช้ประโยชน์หรือจัดการวัฒนธรรม เป็นเรื่องของการตกลงร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในท้องถิ่น"


แต่แผนที่วัฒนธรรม ที่ใช้ในหนังสือแผนที่ประวัติศาสตร์ และแผนที่วัฒนธรรมของ (สยาม) ประเทศไทย วางขายทั่วประเทศขณะนี้ (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สนับสนุนทุนพิมพ์) หมายถึงแผนที่แสดงพื้นที่บริเวณที่ราบ ลุ่มน้ำ และหุบเขา ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาคล้ายคลึงกันหรืออย่างเดียวกัน ดังมีคำอธิบายในหนังสือ ว่า


"เขตการปกครองของประเทศไทยคลาดเคลื่อนจากลักษณะภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เช่น กำหนดให้กลุ่มสุโขทัยเป็นภาคเหนือตอนล่าง ทั้งๆ ที่ภูมิประเทศและประวัติศาสตร์เป็นภาคกลางตอนบน เป็นต้น


ฉะนั้น บริเวณประเทศไทยควรจัดแบ่งตาม "เขตพื้นที่ทางวัฒนธรรม" ที่แตกต่างกัน โดยดูจากหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี"


ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็ไม่เข้าใจ "ทรัพยากร" อันเป็นต้นทุนทางสังคมที่มีคล้ายคลึงกัน อย่างเดียวกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร เช่น


ภาคกลางมีแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทยเป็นแกนกลาง แล้วแบ่งออกเป็น 2 บริเวณ คือตอนบนกับตอนล่าง


ตอนบน เป็นวัฒนธรรมรัฐสุโขทัย อยู่ลุ่มน้ำป่าสัก-น่าน-ยม-ปิง (วัง) ทางเหนือสุดอยู่อุตรดิตถ์ ทางใต้สุดอยู่นครสวรรค์ เขตภายในมีตาก, กำแพงเพชร, พิษณุโลก, พิจิตร, เพชรบูรณ์


ตอนล่าง เป็นวัฒนธรรมกรุงศรีอยุธยา แบ่งเป็น 2 ฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และอ่าวไทย คือฟากตะวันตกและฟากตะวันออก


ฟากตะวันตก ทางลุ่มน้ำแม่กลอง-ท่าจีน เชื่อมโยงถึงอ่าวเมาะตะมะ ทะเลอันดามัน มีจังหวัดต่างๆ คือ อุทัยธานี, กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, สิงห์บุรี, นครปฐม, ราชบุรี, สมุทรสาคร, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์

ฟากตะวันออก ทางลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก ถึงลุ่มน้ำบางปะกง และดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันออก ตั้งแต่ลพบุรี, สิงห์บุรี, อ่างทอง, อยุธยา, นนทบุรี, กรุงเทพฯ, นครนายก, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด


นี่ไง แผนที่วัฒนธรรมที่อยู่ในลุ่มน้ำเดียวกันแท้ๆ ก็มีหลายส่วนแตกต่างกันอย่างเห็นชัดๆ


ขอขอบคุณที่มา : มติชนรายวัน วันที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2551 หน้า 21



วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

มอญ : ไร้แผ่นดินแต่ไม่สิ้นวัฒนธรรม

มอญรำพึง

เฝ้าร่ำไห้อาลัยแผ่นดินแม่
เป็นผู้แพ้จำต้องจากพลัดพรากหาย
รอนแรมป่าฝ่าเขาแทบวางวาย
กว่าสบายใต้พระบรมโพธิสมภาร
ทูนเทิดไว้เหนือเกล้าเท่าชีวิต
ดั่งอาทิตย์ส่องหนพ้นสงสาร
จนเลยวารทุกข์ล่วงปวงรามัญ
แม้อาสัญขอบูชามหากษัตริย์ไทย


มอญคิด ไทเขียน


“ทรงเป็นที่เคารพและเทิดทูนของคนมอญ”
น้ำเสียงเรียบๆ แต่จริงจังเป็นสิ่งที่คณะเราได้ยินโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า เพราะอะไร?


“คนมอญไม่มีแผ่นดิน ไม่มีกษัตริย์ ถูกข่มเหงในดินแดนของตัวเองมานาน เห็นพระองค์ทรงห่วงใยและช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ทำให้เกิดความรักและศรัทธาอย่างยิ่ง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทุกบ้านมีรูปของพระองค์แขวนไว้รองลงมาจากพระพุทธรูป”

คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้ต้องกลับมาทำการบ้านอย่างมากในเรื่องราวของกลุ่มชนที่เคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่ แต่ปัจจุบันกลับไร้แผ่นดิน ไม่มีแม้กระทั่งสัญชาติ แต่ยังคงความเป็นชนชาติที่มีความพยายามในการรักษาและสืบต่อวัฒนธรรมไว้อย่างเข้มแข็ง


จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า นับเนื่องแต่อดีตกาล ดินแดนสุวรรณภูมิได้มีกลุ่มชนหลากหลายกลุ่มอาศัยอยู่มานานนับพันปี ชนชาติมอญเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า เป็นผู้สร้างสรรค์รากฐานทางวัฒนธรรมที่สำคัญและถ่ายทอดสืบมาจนถึงปัจจุบัน นักวิชาการสันนิษฐานว่า ชนชาติมอญซึ่งเป็นพวกมองโกลอยด์ อพยพลงมายังดินแดนที่เป็นประเทศพม่า ในขณะที่ชนเผ่ากัปปะลีซึ่งเป็นพวกนิกริโต และเป็นกลุ่มชนแรกเริ่มที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มากว่า 4 พันปี ก็เคลื่อนย้ายไปอาศัยอยู่ตามเกาะภีลู หรือ บะลูและเกาะกัปปลี โดยกลุ่มชนมอญโบราณได้ตั้งหลักแหล่งในรูปแบบของสังคมกสิกรรรม และเรียกแผ่นดินแรกของมอญนี้ว่า รามัญเทสะ

ในทางมานุษยวิทยานั้น มอญ อยู่ในกลุ่มชนชาติที่พูดภาษามอญ-เขมร (Mon-Khmar) ตระกูลออสโตร-เอเชียติค (Austro-Asiatic) เป็นชนชาติที่มีอารยธรรมสูง ( Emmanuel Guilon. 1999 :1-3) ภาษามอญ เป็นสายหนึ่งในตระกูลภาษามอญ-เขมร 12 สาย มีการใช้มานานประมาณ 3,000-4,000 ปีมาแล้ว


หลักฐานการค้นพบการใช้อักษรมอญที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือ จารึก วัดโพธิ์ร้าง พ.ศ. 1143 จัดเป็นอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาจารึกภาษามอญที่ค้นพบในดินแดนอุษาคเนย์ โดยเป็นจารึกที่เขียนด้วยตัวอักษรปัลลวะ และได้พบอักษรที่มอญประดิษฐ์เพิ่มขึ้นเพื่อให้พอกับเสียงในภาษามอญ ในจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมืองลพบุรี โดยอักษรที่จารึกในศิลาหลักนี้ เรียกว่า ตัวอักษรหลังปัลลวะ

เนื่องจากได้พบจารึกภาษามอญโบราณในภูมิภาคต่าง ๆ ของอาณาจักรทวารดี จึงอาจกล่าวได้ว่า ในอาณาจักรทวารวดีนั้นมีกลุ่มชนที่ใช้ ภาษามอญ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งยังเป็นกลุ่มชนที่ได้รับเอาอารยธรรมจากอินเดีย โดยเฉพาะอารยธรรมทางด้านตัวอักษร เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้ ดังปรากฏหลักฐานในจารึกที่ใช้รูปอักษร ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากรูปอักษรที่ใช้อยู่ในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ ประเทศอินเดีย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 10-11 จารึกดังกล่าวบันทึกไว้ด้วยรูปอักษรปัลลวะ ภาษามอญโบราณ พุทธศตวรรษที่ 12 ได้แก่ จารึกวัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช จารึกวัดโพธิ์ร้าง จังหวัดนครปฐม จารึกฐานพระพุทธรูปยืนวัดข่อย จังหวัดลพบุรี จารึกถ้ำพระนารายณ์ จังหวัดสระบุรี จารึกเมืองบึงคอกช้าง จังหวัดอุทัยธานี และในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14-15 ก็ได้พบจารึกใช้รูปอักษรหลังปัลลวะ ภาษามอญโบราณ ได้แก่ จารึกเสาแปดเหลี่ยม จังหวัดลพบุรี จารึกใบเสมาวัดโนนศิลา จังหวัดขอนแก่น จารึกพระพิมพ์ดินเผานาดูน จังหวัดมหาสารคาม จารึกพระพิมพ์ดินเผาเมืองฟ้าแดด จารึกวัดโพธิ์ชัยเสมาราม จังหวัดกาฬสินธุ์ จารึกสถูปดินเผาเมืองทัพชุมพล จังหวัดนครสวรรค์

จากความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทวาราวดีกับชนชาติมอญ จะเห็นได้ว่า มอญ คือกลุ่มคนที่มีรกรากอยู่ในอาณาบริเวณนี้ โดยที่อาณาจักรในสมัยก่อนยังไม่มีการใช้เส้นแบ่งเขตดินแดนที่ชัดเจนเช่นในปัจจุบัน กลุ่มชนเคลื่อนย้ายไปตามศูนย์กลางความเจริญ ความรู้สึกของการเป็นพวกพ้องเดียวกัน มีการแลกเปลี่ยนผสมกลมกลืนในวิถีชีวิต ความคิด วัฒนธรรม ประเพณี จนทำให้เป็นการลำบากที่จะแยกว่าวัฒนธรรมใดเป็นของกลุ่มชนใดมาตั้งแต่แรกเริ่มอย่างแท้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนมอญก็คือ ภาษา ซึ่งอาจดูคล้ายคลึงกับภาษาพม่า และภาษาธรรมของล้านนา ซึ่งตัวอักษรมอญมีพัฒนาการจากประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 โดยคลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะมาเป็นตัวอักษรสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า อักษรมอญโบราณ และเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลง และกลายเป็นอักษรมอญปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะกลม เกิดจากอิทธิพลของการจารหนังสือโดยใช้เหล็กจารลงบนใบลานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกประการหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเป็นคนมอญ คือ การแต่งกาย ซึ่งก็มีพัฒนาการผสมผสานกับการแต่งกายของคนไทยตามยุคตามสมัย หากจะเห็นได้ชัดเจนในงานประเพณี หรืองานบุญ โดยที่ชายชาวมอญจะสวม เกลิด หรือ ผ้านุ่ง ส่วนผ้าผืนยาวที่นุ่งเวลาออกงานสำคัญ เรียกว่า เกลิดฮะเหลิ่น แปลว่า ผ้านุ่งยาว (ลอยชาย) สวมเสื้อคอกลมผ่าอกตลอด แขนกระบอก มีกระดุมผ้า หรือเชือกผูกเข้ากัน สมัยก่อนนิยมโพกศีรษะ ต่อมาตัดสั้นแบบสมัยนิยม สำหรับการแต่งกายของหญิงมอญนั้นจะสวม หนิ่น ซึ่งคล้ายผ้านุ่งของผู้ชาย แต่ลายจะละเอียด และสวยงามกว่า รวมถึงมีวิธีการนุ่งที่ต่างกัน สวมเสื้อตัวในคอกลมแขนกุด สีสันสดใสตัวสั้นแค่เอว เล็กพอดีตัว สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวทรงกระบอก เป็นผ้าลูกไม้เนื้อบาง สีอ่อน มองเห็นเสื้อตัวใน ถ้ายังสาวอยู่แขนเสื้อจะยาวถึงข้อมือ หากมีครอบครัวแล้ว จะเป็นแขนสามส่วน หญิงมอญนิยมเกล้าผมมวย ค่อนต่ำลงมาทางด้านหลัง โดยมีเครื่องประดับ ๒ ชิ้น บังคับไม่ให้ผมมวยหลุด คือ โลหะรูปตัว U คว่ำแคบๆ และโลหะรูปปีกกาตามแนวนอน ภาษามอญเรียกว่า อะน่ดโซ่ก และ ฮะเหลี่ยงโซ่ก จากนั้นประดับด้วย “แหมะเกวี่ยปาวซ่ก“ รอบมวยผม สิ่งสำคัญของคนมอญเมื่อไปวัด คือผ้าสไบ เรียกว่า หยาดโด๊ด ใช้ได้ทั้งชายหญิง แต่โดยมากชายสูงอายุมักใช้ผ้าขาวม้า โดยพาดจากไหล่ซ้ายไปด้านหลัง อ้อมใต้รักแร้ขวา แล้วขึ้นไปทับบนไหล่ซ้าย แต่หากไปงานรื่นเริง เที่ยวเล่น ก็ใช้คล้องคอแทนหรือพาดลงมาตรงๆ บนไหล่ซ้าย หากแต่ในปัจจุบัน อาจเห็นผู้ชายสวมเสื้อขาว โสร่งพื้นแดงลายตาราง ส่วนผู้หญิง สวมเสื้อขาวหรือชมพูอ่อน ผ้าถุงพื้นแดงเชิงลายดอกพิกุล เพื่อแสดงเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของตนทุกครั้งที่มีโอกาส โดยเฉพาะในงานสำคัญอย่างวันชาติมอญ เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างทางเชื้อชาติระหว่างมอญกับพม่า เพราะคนทั่วไปมักแยกไม่ออกว่าพม่ากับมอญต่างกันอย่างไร

การที่มอญต้องการแสดงความแตกต่างจากพม่านั้น มีสาเหตุมาจากประวัติศาสตร์ของชนชาติมอญที่มีลักษณะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพม่า ชนชาติมอญเป็นผู้รักความสงบ ยึดมั่นในหลักคำสอนของพุทธศาสนา ในขณะที่พม่าต้องการยึดครองดินแดนสุวรรณภูมิโดยการใช้กำลังผนวกมอญเป็นส่วนหนึ่งแล้วพยายามกำจัดอาณาจักรอยุธยา เมื่อมอญตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าแล้วก็ได้รับความลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหง เกณฑ์แรงงานไปใช้ในการก่อสร้าง ทำการเกษตรรวบรวมเสบียงอาหารให้กองทัพพม่าก่อนการยกทัพเข้าทำสงคราม ชาวมอญจึงเริ่มอพยพเข้าสู่อาณาเขตของไทย เนื่องจากพื้นที่ของมอญและไทยต่อเนื่องกัน สภาพภูมิอากาศคล้ายกัน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม อาหารการกิน วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีก็เหมือนกัน ที่สำคัญคือ นับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกัน จึงสามารถปรับตัวได้ง่าย ประกอบกับไทยมีความรู้สึกเป็นมิตร ไม่มีนโยบายกีดกันชาวมอญ



จากการที่ชาวมอญได้เข้ามาอยู่ร่วมกับคนไทยและสังคมไทยเป็นเวลานาน คนไทยและสังคมไทยได้รับการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาวมอญ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ทั้งด้านอาหารการกิน เช่น กะละแม ขนมจีน ข้าวทิพย์ ข้าวแช่ ด้านการละเล่น ดนตรี นาฏศิลป์ เช่น ปี่พาทย์มอญ ฆ้องมอญ มอญรำ มอญซ่อนผ้า ทะแยมอญ ด้านศาสนา ได้แก่ พุทธศาสนานิกายธรรมยุติ หรือรามัญนิกาย เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มชนทั้งสองนับแต่อดีตมา



ปัจจุบัน มีชาวมอญได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในหลายรูปแบบทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ตามกระแสโลกาภิวัตน์ คือ การที่มอญซึ่งเป็นเพียงเขตปกครองเขตหนึ่งของพม่า ชาวมอญจึงไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมอญ แต่ถูกเรียกขานว่าเป็นพม่า และเมื่อเข้ามาสู่ประเทศไทยก็จะถูกมองว่าเป็นชาวพม่า ทังนี้เป็นเพราะชาวมอญและชาวพม่ามีความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ ด้าน ประกอบกับการที่ชาวมอญต้องปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมที่ตนอาศัยอยู่ วัฒนธรรม ประเพณีบางอย่างจึงพลอยกร่อนไปด้วย วัฒนธรรมมอญบางส่วนถูกดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ เช่น เครื่องปั้นดินเผาที่เกาะเกร็ด และบ้านมอญ นครสวรรค์ แม้บางคนอาจจะมองว่าไม่ใช่วัฒนธรรมเดิมของมอญ โดยเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภูมิปัญญาในการใช้ทรัพยากร กระบวนการผลิตแบบเดิมก็คือ กลุ่มเครื่องปั้นดินเผาสามโคก แต่ก็เป็นการปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งก็เป็นการสร้างกระแสให้คนทั่วไปรู้จักวัฒนธรรมมอญ นอกจากจะรู้จักเพียงการเล่นสะบ้า หรือมอญซ่อนผ้า

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

พรปีใหม่

ขออัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๓ มาเป็นสิริมงคลสำหรับผู้มีสำนึกรักแผ่นดินทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จิต มาร กิเลส

เวลายังคงทำหน้าที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เดินต่อไปโดยไม่หยุดพัก


ชีวิตคนก็ยังต้องดำเนินไป ไม่อาจย้อนกลับ


เพียงแต่... เวลาที่ผ่านมา เราได้ย้อนกลับไปคิดถึงความเป็นไปในชีวิตมากน้อยเพียงใด


เตรียมตัวเตรียมใจพบกับสิ่งใหม่ที่รออยู่แค่ไหน




เตรียมรับปีใหม่ ตั้งต้นความคิดและชีวิตใหม่ด้วยข้อคิดดีๆ จากธรรมะใกล้ตัว http://www.dlitemag.com/



จิต มาร กิเลส


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


จิตไปเร็วมาก เจ้าของตามไม่ทันไปทุกขณะ

ดังนั้น คนเลยทำชั่ว ปล่อยให้กิเลสพาไป ไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดจาหยาบคาย ส่อเสียดให้คนอื่นเดือดร้อน ดื่มสุรา

ความชั่วมี ความดีมี จิตมีสิทธิ์ที่จะเลือก

ถ้าจิตฉลาด ก็เลือกเอาบุญกุศล ถ้าไม่ฉลาด ก็เลือกเอาเรื่องชั่ว

พอใจทำชั่ว จิตไม่ฉลาด ไม่สามารถสร้างหรือหาข้าวของของตัวเอง ก็ไปฉกฉวยเมื่อเห็นของของผู้อื่น
ในโลกสมมุตินี้ กลับเห็นผู้ฉกฉวย หลอกคนอื่นได้ เป็นคนฉลาด โลกก็เป็นอย่างนี้

แต่ในทางธรรมะ ถ้าไปทำให้คนอื่นทุกข์เดือดร้อน กรรมนั้นก็จะตามสนอง ให้ต้องถูกหลอก โดนต้มตุ๋น ต้องเสียใจ คับอก คับใจ เกิดชาติใดก็จะเป็นอย่างนั้น

พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนฉลาด มีปัญญา ไม่สอนให้โง่เขลาเบาปัญญา

คำสอนล้วนแต่ทำให้เกิดปัญญา แนะนำให้คนฝึกตน อย่าปล่อยตนให้ไหลไปตามอำนาจของกิเลส

“ทูรังคะมัง เอกะจะรัง คูหาสะยัง…ฯลฯ”

ปกติของจิตนั้น เที่ยวไปไกล มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัย
ใครสำรวมจิตใจตนให้ดีก็จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร

สิ่งที่ยิ่งทำให้โลภ โกรธ หลง ก็คือ “มาร”
เมื่อพิจารณารู้แล้วต้องไม่หลงใหลไปตามมายาของกิเลสนั้น
เมื่อมีอะไรมากระทบก็อย่าวู่วาม ให้มีสติสัมปชัญญะสกัดกั้นจิตใจไว้

มีอะไรมากระทบใจ ก็ “อดทน” ก่อน ถ้าไม่อดทนก็จะมีเรื่อง
อย่างมีคดีกัน ฟ้องกัน เสียเงิน เสียเวลา ไปศาลทีไรก็เสียเงินทุกที ไม่ฉลาด
ถ้าฉลาดโจทก์กับจำเลยควรมาพูดคุยกัน
ตกลงกัน สมยอมกัน ยอมสละกันบ้าง
การว่าความในโรงศาลไม่ใช่ของดี ทำให้เสียเงินทอง เสียเกียรติยศชื่อเสียง

พระพุทธองค์จึงสั่งสอนให้สำรวมจิต ซึ่งจะทำให้มาร
คือ ความชั่วทั้งหลายมาหลอกลวงยั่วยวนไม่สำเร็จ
เพราะว่าจิตรู้เท่าทัน เมื่อจิตตั้งมั่น ก็เกิดปัญญา

ดังนั้น อย่าปล่อยให้จิตไหลไปตามกระแสโลก จะยืน เดิน นั่ง นอน
ก็ใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาก่อน จะทำ จะพูด จะคิด ก็สำรวมจิต
รักษาจิตให้ดี มารหรือความชั่ว ก็มาลบล้างหรือทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่ได้

ขอให้เข้าใจว่า ความชั่วทั้งหลาย (โลภ โกรธ หลง) คือตัวมาร
ใครล่วงความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เข้าใจผิด เดินทางผิด เห็นผิดเป็นชอบไป
การขอหวย รวยเบอร์ บนบาน ไม่ได้อะไร นี่เรียกว่า ความหลง

ดังนั้น สำรวมตัวเองให้ดี ไม่ปล่อยให้ความชั่วจูงจิตใจไป
เท่านี้ก็มีแต่ความดี ไม่มีความชั่ว

ก่อนนอนควรสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกฝนตน อย่าแค่กราบ ๓ ที แล้วนอนเลย
เพราะพวกเรากำลังฝึกตนอยู่ พระพุทธองค์ทรงวางระเบียบไว้อย่างไร
ก็ให้ฝึกตนอย่างนั้น ทำบุญทำทาน ขยันทำงานขยันทำบุญ ควบคุมใจให้อยู่ในความดี
อย่าให้โลภ โกรธ หลง มาครอบงำใจให้ไปทำไม่ดีกับคนอื่น
อันจะเป็นบาปเป็นเวรต่อไป ทำความดีให้เกิดในใจตน ด้วยการพยุงจิตให้แน่วแน่

จิตมีปกติเที่ยวไปไกล แต่ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย
ผู้ใดสำรวมจิตใจให้ดี ก็จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นเอง


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

What Everyone Ought to Know About The Structure of the Universe

What Everyone Ought to Know About The Structure of the Universe



Since man started to reflect, I imagine him first developing tools used to survive the grim surroundings, then securing shelter, clothing and food. After those primal tasks, after finding security within a cave or by an open fire in the wilderness, he must have looked up at the sky at night and wondered about the moon and the stars. Since knowing what planets and suns are wasn’t accessible information at that time, theories were created about what they were. Were the stars the eyes of the gods? Were they perhaps little nails that held up the roof of the sky? They must have wondered. With theorizing about what they wondered, they perhaps discovered a little about the Universe, but a greater truth about themselves.

I still wonder. Knowing what I know today, I believe I’m just as far away from knowing what the universe truly is. There are two popular theories in the modern world that seem to predetermine what kind of person we are. There is one that believes the world was created by a divine being, God. Some of those believe however differently about how God created the world. Some think it happened six thousand years ago and consider all scientific believes to the contrary to be hashwash, but others believe that God was the mind or structure behind the world that actually developed.



There are others who believe there is no God who created the Universe. That we are alone. Laws of nature took the greatest part in this development. Accidents and coincidences happen without being preordained. Everything becomes from matter and becomes what it becomes due to its environment.

Does there have to be a mind that creates everything that happens to be beautiful in this world?

I don’t think so.

Could we interpret the world as something beautiful that must have been created by a greater power?

Yes.

Do humans have the tendency to personify everything in order to grasp a deeper understanding of themselves and the universe?

Definitely.

All the myths that have been created in order to explain what used to be unexplainable suggests that we need to grasp on a familiar level the reasons for every single force of nature. Every single accident needs to be explained as something with a cause. Not everyone is satisfied with natural causes. There must be something divine about things we can’t grasp.

Today, the Big Bang theory seems to be what the majority who sustains from mythology holds to be true regarding the creation of the Universe. However, the Big Bang theory is in my opinion just another myth, it’s just more believable to the modern mind since it hasn’t been personalized. It may well be that the Universe is expanding from a central point, but it could also be that this central point isn’t the point of creation. What if we are just participating in an instant of the universe’s heartbeat?



From these reflections we may draw a little conclusion.

What everyone ought to know about the structure of the universe is that it’s based on our own believes. Facts and knowledge about the universe are secondary to the interpretation of each person towards what the universe actually is. Belief systems are created in order to make sense of the universe. Belief systems are simpler to understand than pure knowledge. Knowledge is hard to come by, it requires deep thought and a will to wonder and reflect. Nobody can do it for you. Believes may be manufactured, produced for the masses. Knowledge is an individual discovery.

This may sound arrogant to those who believe and don’t have time to wonder.

แวะเวียนไปพบบทความท่น่าสนใจ เลยนำมาฝากไว้ให้อ่านเล่น ๆ กัน ก็เป็นความคิดที่น่าสนใจที่บางครั้งเราก็คิดกันเล่น ๆ แต่ไม่เคยหาคำตอบจริง ๆ

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขุมทรัพย์แห่งบรรพชน

              ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นสิ่งแสดงความเจริญด้านภูมิปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นอกลักษณ์ของกลุ่มชน โดยถ่ายทอดจากบรรพชนสู่ชนรุ่นหลัง ผ่านทางขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อ การแสดง และการละเล่นพื้นบ้าน ฯลฯ


           สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันเนื่องจากเป็นแหล่งรวมผู้คนจากทุกสารทิศนับแต่โบราณกาล การที่ชนกลุ่มต่าง ๆ สามารถอยู่ร่วมกันได้นั้นมีสาเหตุหลายประการ โดยสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งคือ โลกทัศน์ที่มีต่อสรรพสิ่งรอบตัว ซึ่งเมื่อมองลึกลงไปในความเชื่อของกลุ่มชนต่าง ๆ จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันในการให้ความเคารพต่อธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

               แต่จากการครอบงำของระบบทุนนิยมที่มีต่อความคิด การผลิต การบริโภค ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ลืมเลือนคำสอนของบรรพชน หันไปสนใจแต่ความเจริญทางเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ มุ่งแสวงหาเงินทองเป็นสำคัญ ศิลปะวัฒนธรรมถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวย โดยไม่แยแสสนใจข้าวของภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอย่างจริงจัง หลายคนได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูแลวัฒนธรรมแต่กลับไม่เข้าใจวัฒนธรรมอย่างถ่องแท้ ไม่เข้าใจรากฐานความคิดของวัฒนธรรมอันจะนำไปสู่การพัฒนาที่มั่นคงและยืนยาว ทำให้วัฒนธรรมเป็นเพียงเครื่องมือให้คนเหล่านั้นก้าวหน้าในตำแหน่ง หน้าที่การงานเท่านั้นเอง ไม่มีคุณค่าต่อสังคมและชุมชนเลยสักนิด ทำให้เกิดความคิดว่าน่าเสียดายที่วัฒนธรรม ภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าแห่งกลุ่มชนอันยิ่งใหญ่ถูกทำลายด้วยมือของลูกหลานผู้โฉดเขลา

                ผมมีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานวัฒนธรรมอยู่ระยะหนึ่ง  เริ่มจากความรู้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดว่างานวัฒนธรรมคงเกี่ยวข้องกับการแสดง  การละเล่น  เช่นที่คนทั่วไปเข้าใจ  แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้มีส่วนในการกำหนดนโยบายและแผนดำเนินงานด้านวัฒนธรรมของหน่วยงาน  จึงต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติมอย่างมากทำให้พบว่างานวัฒนธรรมมีขอบเขตที่กว้างมาก เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่านที่จะจัดการงานวัฒนธรรมใหครอบคลุมทั้งหมดด้วยคนเพียงคนเดียว  หรือหน่วยงานเดียว  ต้องมีการบูรณาการความรู้  ความสามารถ  ศักยภาพของคนในหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างมีเอกภาพ  แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นจริง  ยังคงเหมือนกับความฝันของเด็กขอทาน  เพราะอะไรหรือ?

                 ถ้าตอบในแนวของวัฒนธรรมเองจะพบคำตอบว่า  ด้วยลักษณะนิสัยบางอย่างของคนในบ้านนี้เมืองนี้บางคน  บางส่วน  ทำให้การบูรณาการดังกล่าวเป็นเพียงความคิดที่ยังห่างไกลความเป็นจริง    เพราะคนเรามักคิดว่าตัวเองเก่ง  ฉลาดกว่าคนอื่น หรือมักคิดว่าทำไปทำไม  เหนื่อยเปล่า ๆ มีบางคนถึงกับพูดว่าอย่าสร้างงานใหม่เลย  เขาทำมายังไงก็ทำไปอย่างนั้นแหละ  ทำใหม่ให้เหนื่อยทำไม  เงินก็ไม่ได้เพิ่ม  ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง  ฟังอย่างนี้แล้วอยากบอกด้วยความเคารพว่า  กรุณากลับไปอยู่บ้านให้สบายเถอะครับ  แต่ถ้าพูดด้วยภาษาบ้านผมจะบอกว่า  ไปตายซะ  หรือไม่ก็กลับไปซุกชายผ้าถุงซะ  ไม่ควรอยู่ต่อไปให้เป็นเสนียดกับหน่วยงาน  เป็นจัญไรต่อแผ่นดินอีกเลย

               ที่คิดอย่างนี้เพราะระลึกถีงวันเวลาแห่งการต่อสู้ดิ้นรนของบรรพชนที่ยอมเหนื่อยยากหักล้างถางพง บุกบั่นสร้างบ้านเมือง สร้างความเจริญ สั่งสมและถ่ายทอดวัฒนธรรมและอารยธรรมให้ลูกหลานมาโดยตลอด ท่านยอมแม้กระทั่งการหลั่งเลือดชโลมแผ่นดิน  เพื่อรักษาความเป็นชาติ  ความเป็นไทย ความเป็นสยาม  ความเป็นสุวรรณภูมิ ดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์แห่งชนชาติที่ทุกคนยอมรับอยู่ในใจดีอยู่แล้ว 

               ที่เขียนมานี้มิได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นคนทำงานวัฒนธรรมนะครับ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะสะท้อนความคิด  ประสบการณ์ที่พบเจอมาซึ่งแม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของคนทำงานวัฒนธรรม แต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้งานในภาพรวมไม่พัฒนาหรืออาจเป็นภาพลบเล็ก ๆ ที่ทำลายกำลังใจของคนทำงานอีกหลายคนที่ยังมีไฟ

                 ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องผองเพื่อนผู้ทุ่มเทเสียสละในการทำงานวัฒนธรรมอย่างจริงจังและจริงใจ ทำต่อไปเถอะครับ อย่าท้อถอยในความดีที่ท่านทำอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่ผมว่ามาแล้ว ที่สักวันพวกเขาก็จะตายไปจากแผ่นดินนี้แล้ว ท่านคือผู้ที่จะฟื้นฟูมรดกของบรรพชนให้คงอยู่และมีคุณค่าต่อไป